นำหน้าคนอื่น 1 ก้าวยังไง? 10 แนวคิด เปลี่ยนตัวเองปี 2025

  • 24 Jan 2025
  • 1591
หางาน,สมัครงาน,งาน,นำหน้าคนอื่น 1 ก้าวยังไง? 10 แนวคิด เปลี่ยนตัวเองปี 2025

 

ทุกวันนี้การแข่งขันในทุกด้านเกิดขึ้นเร็วมาก การก้าวนำคนอื่นแค่ 1 ก้าว ก็ช่วยให้เราโดดเด่นขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือชีวิตส่วนตัว แต่การจะทำแบบนั้น ไม่ใช่แค่ตามกระแสหรือใช้วิธีเดิมๆ ที่เคยทำ การเปลี่ยนตัวเองด้วยไอเดียใหม่ๆ ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เราพัฒนาตัวเองและไปได้ไกลกว่าเดิม ต้นปีแบบนี้ หลายคนก็คงเริ่มตั้งเป้าหมาย New Year Resolution กันอยู่ใช่ไหม? มาลองใช้ 10 แนวคิดที่จะช่วยเปลี่ยนตัวเองเป็นเวอร์ชั่นที่ดีกว่า พร้อมลุยทุกความท้าทายในปี 2025

 

1. พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น 1% ในทุกๆ วัน

หลายคนไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าการเปลี่ยนนั้นช่วยให้ชีวิตหรือการงานของเราดีขึ้น (แม้จะต้องฝืนใจทำ) ก็คุ้มค่าที่จะลอง การเปลี่ยนแปลงไม่จำเป็นต้องทำครั้งใหญ่ในทันที แต่เริ่มจากปรับปรุงตัวเองทีละนิด เช่น พัฒนาวันละ 1% ซึ่งเมื่อทำต่อเนื่องครบ 365 วัน คุณจะกลายเป็นคนที่เก่งขึ้น ดีขึ้นได้อย่างน่าทึ่ง

 

James Clear ผู้เขียน Atomic Habits กล่าวไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่ทำอย่างต่อเนื่องสามารถสร้างผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ได้ หากพัฒนา 1% ในทุกๆ วัน เมื่อครบ 1 ปี คุณจะดีขึ้นถึง 38 เท่า ตัวอย่างเช่น หากคุณอยากทำงานให้เสร็จเร็วขึ้น ลองเริ่มต้นตื่นเช้าขึ้นวันละ 5 นาที แล้วค่อยๆ ขยับเป็น 10 นาที 15 นาที จนถึง 2 ชั่วโมง เป้าหมายคือทำให้เป็นนิสัยที่ต่อเนื่อง เมื่อคุณเริ่มเห็นผลลัพธ์ จะช่วยให้คุณรู้สึกภูมิใจและลดความรู้สึกด้านลบต่อการทำงานไปโดยธรรมชาติ

 

จำไว้ว่า “ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่ที่ต้องเกิดขึ้นในวันเดียว แต่เกิดจากการพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอทีละเล็กละน้อย”

 

2. ฝึกพูดคำว่า “ไม่” เพื่อรักษาขอบเขตการทำงานของตัวเอง

หลายครั้งที่เราตอบรับทุกคำขอเพราะอยากช่วยเหลือ หรือกลัวเสียภาพลักษณ์ว่าเป็นคนไม่ใจดี การ Say Yes อาจทำให้คุณดูน่ารักในสายตาคนอื่น แต่ก็อาจสร้างภาระหนักเกินไปจนส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและประสิทธิภาพงาน เช่น งานไม่เสร็จทันเวลา ความเครียดสะสม หรือหมดไฟในการทำงาน

 

ลองฝึกพูดคำว่า “ไม่” ในเวลาที่จำเป็น เช่น เมื่อมีคนขอให้ช่วยงานแทรกเข้ามา แต่คุณรู้ว่างานหลักที่ต้องทำในวันนั้นยังไม่เสร็จ หรือมีความซับซ้อนและยุ่งเหยิงอยู่ การปฏิเสธอย่างสุภาพ ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคนไม่ดี แต่เป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบและการจัดลำดับความสำคัญที่ชัดเจน การกำหนดขอบเขตการทำงานที่เหมาะสมช่วยให้คุณโฟกัสกับสิ่งสำคัญจริงๆ และส่งมอบงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพโดยไม่ต้องเสียพลังไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น อย่าลืมว่า การดูแลตัวเองก่อน เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณสร้างผลงานที่ดีที่สุดในระยะยาว

 

3. จัดลำดับความสำคัญของงาน และคัดกรองสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป

ถ้าคุณอยากทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเริ่มต้นจาก “กำจัดงานที่ไม่มีความจำเป็น” ลองมองภาพรวมของสิ่งที่ต้องทำ แล้วแยกงานสำคัญที่ต้องเสร็จวันนี้ออกจากงานหยุมหยิมที่สามารถรอได้ การคัดกรองงานช่วยให้คุณมีสมาธิกับสิ่งที่สำคัญที่สุด และลดโอกาสเกิดความเครียดจากการพยายามทำทุกอย่างพร้อมกัน

 

จัดลำดับความสำคัญ โดยเริ่มจากงานที่ใช้เวลามากหรือส่งผลกระทบสูงก่อน จากนั้นค่อยเก็บงานเล็กๆ ที่ใช้เวลาน้อยไว้ทำทีหลัง วิธีนี้ช่วยให้คุณไม่ต้องรีบร้อนในนาทีสุดท้ายกับงานชิ้นใหญ่ที่อาจส่งผลต่อความสำเร็จของคุณ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลองกำหนด ตารางเวลาสำหรับแต่ละงาน เช่น แบ่งช่วงเวลาเฉพาะสำหรับงานสำคัญในตอนเช้า และใช้เวลาที่เหลือในช่วงบ่ายสำหรับงานที่รองลงมา เมื่อคุณทำเช่นนี้เป็นประจำ จะช่วยให้คุณบริหารเวลาได้ดีขึ้น และลดความรู้สึกว่าทุกอย่างล้นมือ งานก็จะเสร็จตรงตามเป้าหมายและด้วยคุณภาพที่ดีขึ้น

 

4. แบ่งงานออกเป็นส่วนๆ ทำงานเสร็จได้แบบไม่เครียด

ถ้างานที่ต้องทำดูเยอะจนล้นมือ หรือเป็นโปรเจกต์ใหญ่ที่กินเวลายาวนาน การพยายามทำให้เสร็จในคราวเดียวอาจสร้างความเครียดและกดดันมากเกินไป วิธีง่ายๆ ที่ช่วยจัดการได้คือ “แบ่งงานออกเป็นส่วนๆ”

 

ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องเตรียมเอกสาร 50 ชุด การทำให้เสร็จทั้งหมดในครั้งเดียวอาจดูเป็นงานหนักเกินไป แต่ถ้าคุณตั้งเป้าหมายย่อย เช่น ทำทีละ 10 ชุด พร้อมกำหนดเดดไลน์ย่อยในแต่ละช่วง จะช่วยให้คุณโฟกัสกับงานได้ทีละขั้นตอน และลดความรู้สึกกังวลลง การทำงานแบบนี้ช่วยให้คุณจัดการเวลาและพลังงานได้ดีขึ้น งานใหญ่ก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายและดูไม่หนักเกินไป อีกทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสในการทำงานเสร็จตามกำหนดอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

 

5. อย่าติดกับดัก Impostor Syndrome “คุณเก่งและคู่ควรกับความสำเร็จ”

เคยรู้สึกไหมว่า “เรายังไม่เก่งพอ” หรือ “ความสำเร็จที่ได้มาเป็นเพราะโชคช่วย” นี่คือภาวะที่เรียกว่า Impostor Syndrome ซึ่งทำให้เราสงสัยในความสามารถของตัวเองและรู้สึกไม่คู่ควรกับความสำเร็จ แม้ว่าจะทำงานหนักแค่ไหนก็ตาม คริสตินา เฮเลนา วิทยากร TEDx ระบุว่า กว่า 80% ของคนทั่วไปเคยเจอกับความรู้สึกนี้

 

วิธีแก้คือ ให้ถามตัวเองว่า “ทำไมเราถึงคิดแบบนี้?” แล้วลองมองย้อนกลับไปที่สิ่งที่เราลงแรงทำมา ความสำเร็จของคุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเปรียบเทียบกับคนอื่น แต่ขึ้นอยู่กับความตั้งใจและความพยายามของตัวเอง จงยอมรับว่าคุณสมควรได้รับสิ่งดีๆ ในชีวิต เพราะทุกความสำเร็จที่ผ่านมาล้วนเกิดจากการทำงานหนักของคุณเอง อย่าปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านี้ฉุดรั้งตัวคุณจากการก้าวไปข้างหน้า

 

6. ทบทวน Career Cycle และเส้นทางอาชีพของตัวเองอยู่เสมอ

เคยรู้สึกหมดไฟ หรือไม่มั่นใจว่าอาชีพที่ทำอยู่ตอนนี้มันใช่สำหรับเราไหม? ถ้าคำตอบคือใช่ การหยุดทบทวนเส้นทางอาชีพของตัวเองสักครั้งอาจเป็นสิ่งที่ควรทำ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า “การติดอยู่กับความรู้สึกเชิงลบไม่ได้ช่วยให้เราก้าวหน้า แต่การเปิดมุมมองใหม่ๆ ต่างหากที่จะช่วยสร้างโอกาส”

 

เริ่มจากการถามตัวเองว่า “เรายังรักในสิ่งที่ทำอยู่หรือไม่?” พร้อมประเมินทักษะและจุดแข็งของตัวเองว่ามีอะไรที่สามารถนำไปต่อยอดได้บ้าง จากนั้นลองค้นหาเทรนด์หรือโอกาสใหม่ๆ ในสายงานที่สนใจ และวางแผนเป้าหมายคร่าวๆ เช่น “ปีนี้อยากพัฒนาทักษะอะไร ก้าวไปสู่ตำแหน่งไหน หรือสร้างรายได้เท่าไร” เพื่อช่วยลำดับความคิดและกำหนดเส้นทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้น อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลง หากพบว่าที่เดิมไม่ตอบโจทย์เราอีกต่อไป การเริ่มต้นใหม่ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่คือโอกาสในการเติบโต การเดินไปข้างหน้าพร้อมเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณกลับมามีไฟและประสบความสำเร็จในแบบของตัวเอง

 

7. เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่และพัฒนาทักษะการทำงานอยู่เสมอ

ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก การเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับงานของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยให้คุณก้าวทันโลก ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจและทำให้คุณโดดเด่นในสายงานมากขึ้น

 

ตัวอย่างง่ายๆ เช่น หากงานของคุณเกี่ยวข้องกับการใช้คอมพิวเตอร์ ลองฝึกพิมพ์สัมผัสเพื่อเพิ่มความเร็วในการทำงาน หรือหากต้องทำงานร่วมกับชาวต่างชาติ ทักษะภาษาอังกฤษคือสิ่งที่ควรพัฒนาเพิ่มเติม เพราะการสื่อสารที่คล่องแคล่วจะช่วยให้คุณประสานงานได้ง่ายขึ้น และส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น สิ่งสำคัญคืออย่าหยุดที่จะเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นการลงคอร์สเรียนออนไลน์ การอ่านหนังสือเสริมความรู้ หรือแม้แต่การเปิดใจรับฟังมุมมองใหม่ๆ จากเพื่อนร่วมงาน เพราะทุกสิ่งที่คุณเรียนรู้ในวันนี้ อาจกลายเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในวันพรุ่งนี้

 

8. เห็นคุณค่าของงานที่ตัวเองทำเสมอ

การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่การตระหนักรู้ถึงคุณค่าของงานที่ตัวเองทำก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะการเข้าใจว่างานของเราเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยพัฒนาองค์กร หรือสร้างผลดีต่อสังคม จะทำให้เรามีแรงบันดาลใจในการทำงานมากขึ้น รู้สึกมีคุณค่าและภูมิใจในสิ่งที่ทำ

 

ถ้าคุณเห็นภาพรวมของงานที่ทำและรู้ว่าเรามีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้า คุณจะรู้สึกมีพลังในการทำงานมากขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง หากคุณไม่รู้คุณค่าของงานที่ทำ อาจทำให้รู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งที่ทำและเกิดภาวะ Burn Out ได้ง่ายขึ้น

 

9. ให้ความช่วยเหลือคนอื่น และรู้จักขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเช่นกัน

การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญ แต่การช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานก็ไม่ควรมองข้าม เพราะเมื่อเราช่วยคนอื่น เรากำลังสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทีม ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจและการทำงานเป็นทีมที่ดี ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่ดีในองค์กรและทำให้เรามีโอกาสเติบโตในหน้าที่การงานมากขึ้น

 

ที่สำคัญ การขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย หากเราเจอปัญหาหรือสถานการณ์ที่ยากเกินไป การขอคำแนะนำหรือความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานจะช่วยให้เราเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนร่วมงาน การขอความช่วยเหลือไม่ได้แสดงถึงจุดอ่อน แต่เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานร่วมกันเพื่อให้ทุกคนเติบโตไปด้วยกัน

 

10. เอาชนะ “ความกลัวความล้มเหลว” ของตนเองให้ได้

หลายคนมักกลัวความล้มเหลวจนไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า แต่จริงๆ แล้วความกลัวนี้อาจเป็นอุปสรรคใหญ่ในการเติบโตของเราในเส้นทางอาชีพ การกลัวอาจทำให้เราหยุดนิ่ง ไม่กล้าเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ หรือก้าวออกจากโซนที่ปลอดภัยของตัวเอง

 

ทางออกคือการสร้างความมั่นใจในตัวเองและมองไปข้างหน้าว่าความสำเร็จที่รออยู่คืออะไร แทนที่จะจมอยู่กับความกลัวว่าจะล้มเหลว ลองถามตัวเองว่า ถ้าคุณประสบความสำเร็จจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ลองคิดถึงโอกาสและประโยชน์ที่จะได้รับจากความสำเร็จแทนที่จะมองแต่ด้านลบของการล้มเหลว อย่าลืมว่า ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ทุกความผิดพลาดคือบทเรียนที่ช่วยให้เราเติบโตขึ้น ความสำคัญอยู่ที่ว่าเราจะเรียนรู้จากมันอย่างไร และเอาความผิดพลาดเหล่านั้นมาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นได้อย่างไร หากสามารถทำเช่นนี้ได้ คุณจะสามารถเอาชนะความกลัวและก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

 

ลองใช้แนวคิดนี้เพื่อพัฒนาตัวเองในปี 2025 แม้การเปลี่ยนแปลงแค่เล็กน้อยก็ยังทำให้ชีวิตเราดีขึ้นกว่าการไม่พยายามอะไรเลยและยืนนิ่งอยู่กับที่ ซึ่งมันเหมือนกับการถอยหลังในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน แค่ค่อยๆ พัฒนาไปทีละนิด คุณจะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้จากความพยายามนี้แน่นอน

 

ขอบคุณข้อมูลดีๆ

จาก : https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1159773

 

สอบถามเพิ่มเติมสำหรับ HR 

อีเมล : [email protected]

JOBBKK.COM © Copyright All Right Reserved

Jobbkk has only one website. In no case, we have an affiliate, agent or appointee. Please do not rely on any other website, email, telephone, SMS or other contacting channel. If it is a case, we will prosecute under a lawsuit in the upmost as allowed. DBD

Top